รถด่วนพิเศษ Revaty จะพาคุณเดินทางตรงสู่ยุนิชิงะวะ

Yunishigawa Onsen ตั้งอยู่ในเมืองนิกโกะ จังหวัดโทชิงิ เป็นเมืองบ่อน้ำพุร้อนที่หลั่งล้นด้วยน้ำพุร้อนธรรมชาติในทุกฤดูกาล กล่าวกันว่าน้ำของที่นี่มีคุณสมบัติในการบำบัดและรักษาโรค Yunishigawa Onsen จึงมีชื่อเสียงในหมู่คนรักบ่อน้ำพุร้อนในฐานะสรวงสวรรค์แห่งการหลบหนี ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาอันสว่างสุกใสที่สุดของปีสำหรับการมาเยือน เพราะมีการจุดแสงเทียนในบ้านหิมะ 800 หลังตอนกลางคืน หากต้องการรับชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งนี้ ให้นั่งรถด่วนพิเศษชื่อ Revaty ของ Tobu Railway จากสถานี Asakusa และมุ่งตรงสู่ยุนิชิงะวะกันได้เลย

Revaty วิ่งหลายเส้นทาง ฉะนั้นโปรดดูให้แน่ใจว่าคุณนั่งขบวนที่มุ่งสู่ Yunishigawa Onsen เรานั่งรถไฟสายตรงซึ่งช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยาก สำหรับใครที่อยากมีเวลาใช้พลังงานไปกับการชมทิวทัศน์ในยุนิชิงะวะ เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ยึดเราเป็นแบบอย่าง อีกเคล็ดลับสำหรับการเดินทางก็คือ สามารถเลี่ยงการเข้าคิวด้วยการจองตั๋วล่วงหน้าและไปรับตั๋วที่สถานีที่เราจะออกเดินทาง นอกเหนือจากการให้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวแล้ว TOBU Tourist Information Center ที่ชั้น G ของสถานี Asakusa ยังจำหน่ายตั๋วรถไฟอีกด้วย มีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาจีนและภาษาอังกฤษคอยให้ความช่วยเหลือด้วย

Tobu Asakusa Station Ticket Counter
TOBU Tourist Information Center ในสถานี Asakusa ให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว

เราออกเดินทางจากโตเกียวโดยนั่งรถไฟรอบ 9 โมงเช้าที่มุ่งตรงสู่ยุนิชิงะวะ ได้ผ่อนคลายบนที่นั่งกว้างขวางและสะดวกสบาย พร้อมกับรับชมทิวทัศน์ของ Tokyo Skytree อันงดงามที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่าง ที่นั่งของ Revaty ตกแต่งเป็นสี "ม่วงสไตล์เอโดะ" ทั้งหมด และได้รับแรงบันดาลใจจากอินเด็น งานฝีมือดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่นำหนังกวางมาใช้ผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ทุกที่นั่งมีเต้าเสียบปลั๊กไฟ และมี WiFi ให้ใช้ฟรีทั้งขบวน การต้อนรับขับสู้แบบญี่ปุ่นนั้นเยี่ยมยอดที่สุดแล้ว

จองตั๋วล่วงหน้าแล้วมารับตั๋วที่สถานีที่จะออกเดินทาง
รถไฟด่วนพิเศษที่ชื่อ Revaty ของ Tobu Railway จะพาคุณมุ่งตรงสู่ยุนิชิงะวะ ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยาก
ที่นั่งของรถไฟตกแต่งเป็นสี "ม่วงสไตล์เอโดะ" ทั้งหมด และได้รับแรงบันดาลใจจากอินเด็น
รถไฟที่พวกเรานั่งแวะจอดที่สถานี Shimo-imaichi ครู่สั้นๆ

หลังออกเดินทางจากสถานี Tobu Asakusa รถไฟก็แยกเป็นสองขบวนที่สถานี Shimo-imaichi สามตู้แรกเลื่อนตัวไปยังไอซุทะจิมะ ส่วนสามตู้หลังเดินทางสู่นิกโกะ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าเรานั่งถูกที่นั่ง พอรถไฟวิ่งต่อ ทัศนียภาพนอกหน้าต่างก็เปลี่ยนจากต้นไม้เขียวขจีกลายเป็นผืนหิมะสีขาว หลังผ่านไปได้ 2 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงสถานี Yunishigawa Onsen ในที่สุด สิ่งที่อยู่ติดกับสถานีก็คือ Yunishigawa Tourism Center ที่เรียกว่า "Yunosato" เรานั่งรถบัส Nikko Kotsu จากที่นั่นเพื่อเดินทางสู่โรงแรมสำหรับเข้าพักคืนนี้

หลังนั่งรถไฟเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึง Yunishigawa Onsen ในที่สุด
Yunishigawa Tourism Center ที่เรียกว่า "Yunosato" นั้น อยู่ติดกับสถานี Yunishigawa Onsen เป็นจุดอำนวยความสะดวกสำหรับการจับจ่ายซื้อของและรับประทานอาหารก่อนจะเดินทางกลับบ้าน

Yunishigawa Kamakura Festival มีหลากหลายแง่มุม

"Yunishigawa Onsen ก่อตั้งขึ้นในค.ศ. 1573 ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์กว่า 400 ปี ถนนใหญ่มีบ้านแบบดั้งเดิมตั้งอยู่เรียงราย เต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนให้หวนนึกถึงอดีต ราวกับว่าเวลาของที่นี่หยุดหมุนอย่างไรอย่างนั้น! เมืองตั้งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา ทำให้ภูมิทัศน์ของถนนมีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ตำนานของตระกูลไทระก็มีส่วนมาจากการแยกตัวโดดเดี่ยวของที่นี่จากโลกภายนอกนั่นเอง ตระกูลไทระเป็นตระกูลสำคัญของชาวญี่ปุ่นในยุคเฮอัน (ค.ศ. 794-1185) หลังได้รับความพ่ายแพ้แก่ตระกูลมินาโมโตะในศตวรรษที่ 12 เหล่าซามูไรและผู้คนที่เหลืออยู่ของตระกูลไทระก็หลบหนีไปยังดินแดนห่างไกลทั่วประเทศญี่ปุ่น ยุนิชิงะวะก็เป็นหนึ่งในถิ่นฐานดังกล่าว พวกเขาเปลี่ยนชื่อแซ่และใช้ชีวิตแบบไม่ให้ตัวเองเป็นที่สนใจเพื่อปกปิดที่ซ่อนของพวกตน หลายปีต่อมามีการค้นพบบ่อน้ำพุร้อน เมืองนี้จึงกลายเป็นแหล่งน้ำพุร้อนอย่างลับๆ ในอดีตนั้น ผู้ที่เดินทางมาเยือนที่นี่มีจุดประสงค์เพื่อแช่บ่อน้ำพุร้อนหรือเรียนรู้เกี่ยวกับตระกูลไทระ แต่เสน่ห์ดึงดูดข้อใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ในปัจจุบันก็คือ Yunishigawa Kamakura Festival เมื่อ 25 ก่อนโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ ได้ร่วมมือกันจัดงานเทศกาลบ้านหิมะ โดยได้รับแรงบันดาลมาจากวัฒนธรรมบ้านหิมะในภูมิภาคโทโฮคุ งานเทศกาลได้พัฒนาเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นตามเวลาหลายปีที่ผันผ่าน จนขณะนี้กลายเป็นอีเวนท์ฤดูหนาวขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดโทชิงิ"

บ้านแบบดั้งเดิมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีที่ Yunishigawa Onsen
Jikoji Temple เป็นศูนย์กลางของศาสนาสำหรับตระกูลไทระ และเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของ Yunishigawa Kamakura Festival

เราอยู่ท่ามกลางนักท่องเที่ยวจำนวนหลายร้อยหลายพันคน ซึ่งเดินทางมายุนิชิงะวะทุกปีเพื่อร่วมงานเทศกาลบ้านหิมะไม่ว่าอากาศจะหนาวเย็นเพียงใดก็ตาม หลังเดินทางมาถึงตอนเที่ยง เราก็ไปเดินเที่ยวรอบเมืองเพื่อรับรางวัลแห่งการเดินทางก่อนจะรับชมการประดับไฟตอนห้าโมงเย็น ถนนใหญ่มีร้านค้าตั้งอยู่เรียงรายและเนืองแน่นไปด้วยผู้คน มีร้านจำนวนไม่น้อยเลยที่เล่นสนุกกับความคิดสร้างสรรค์ด้วยการตกแต่งตุ๊กตาหิมะหรือบ้านหิมะที่ตั้งอยู่หน้าร้าน ลองมาดูตุ๊กตาหิมะเมาเหล้าหน้าร้านเหล้าสาเกญี่ปุ่น และสุนัขหิมะตัวน้อยหน้าไปรษณีย์สิ น่ารักน่าชังอะไรอย่างนี้!


ความคิดสร้างสรรค์ที่ทุ่มเทไปกับการปั้นตุ๊กตาหิมะเป็นตัวการ์ตูนทั้งหมดนี้ช่างน่าทึ่ง

ต่อจากนั้นเราก็ไปดูบ้านหิมะซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในห้าสถานที่กันต่อ หนึ่งในนั้นก็คือ "Sawaguchi Riverbed Miniature Houses" ที่กล่าวกันว่าเป็นสุดยอดทัศนียภาพยามค่ำคืนของญี่ปุ่น โดยมีบ้านหิมะ 800 หลังที่จุดเทียนไว้ด้านในตั้งเรียงรายริมสองฝั่งแม่น้ำ เราอยากเห็นว่าทิวทัศน์สุดโรแมนติกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เลยไปถึงที่นั่นก่อนตกกลางคืน เนื่องจากหิมะตกลงมาไม่หยุด ผู้คนในท้องถิ่นจึงต้องคอยขุดและเติมหิมะให้กับบ้านหิมะจนถึงนาทีสุดท้าย เรายืนท่ามกลางหิมะที่ตกปรอยๆ เพื่อเป็นสักขีพยานต่อการสร้างแดนมหัศจรรย์ชวนฝัน เมื่อบ้านหิมะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ผู้คนในท้องถิ่นก็สอดถ้วยกระดาษที่จุดเทียนไว้เข้าไปในช่องเพื่อจุดแสงให้ริมฝั่งแม่น้ำไปทีละน้อย เรารู้สึกประทับใจกับเวลาที่ใช้และการเตรียมการด้วยความอุตสาหะเพื่อสร้างบรรยากาศโรแมนติกที่ Yunishigawa Onsen

ผู้คนในท้องถิ่นเตรียมการประดับแสงไฟ
สภาพของ Sawaguchi Riverbed Miniature Houses ก่อนจะมีการประดับแสงไฟ

ช่วงเริ่มมืดเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของการประดับแสงเทียนที่ทุกคนรอกันมาเนิ่นนาน บ้านหิมะขนาดจิ๋วซึ่งตั้งกระจัดกระจ่ายริมฝั่งแม่น้ำเป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บ ก่อกำเนิดทิวทัศน์งามตระการในความมืดมิด แม้ว่าอุณหภูมิจะลดต่ำจนติดลบในวันนั้น อีกทั้งยังมีหิมะตกลงมาจากฟากฟ้า นักท่องเที่ยวในยุนิชิงะวะตอนกลางคืนก็ยังมีจำนวนมากกว่าตอนกลางวัน ทุกคนถือกล้องหรือไม่ก็สมาร์ตโฟนในมือเพื่อจับภาพอันน่าตกตะลึง เราเองก็อัศจรรย์ใจกับภาพที่เห็นเช่นกัน รู้สึกประทับใจกับความพยายามของผู้คนในท้องถิ่นที่ทำให้ทิวทัศน์นี้เกิดขึ้นได้ ขนาดที่ว่าเราเกือบตกรถบัสที่จะนั่งกลับโรงแรมเลยทีเดียว ผู้คนในท้องถิ่นเล่าให้เราฟังว่า คนที่อาศัยที่ Yunishigawa Onsen มีแค่ราวๆ 1,000 คนเท่านั้น เพราะฉะนั้น ทุกคนรวมถึงนักเรียนประถมและมัธยมต้นต้องมีส่วนร่วมและแบ่งกะกันเพื่อสร้างบ้านหิมะ

หลังจุดแสงเทียนเสร็จเรียบร้อย Sawaguchi Riverbed Miniature Houses ก็แปลงร่างเป็นแดนมหัศจรรย์ที่ดูราวกับมีเวทมนตร์

"เรามุ่งหน้าไปยัง ""Heike-no-Sato"" อันเป็นสถานที่สำคัญ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ประกอบด้วยบ้านดั้งเดิมจำนวนสิบหลังซึ่งแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ชาวบ้านใช้งานกันในอดีต ระหว่างมีการจัดงานเทศกาล ที่นี่จะจัดแสดงบ้านหิมะหลากหลายขนาดและมีการจุดแสงไฟในค่ำคืนที่ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินดูลึกลับ ทัศนียภาพต่างจากบ้านหิมะจิ๋ว 800 หลังมากทีเดียว แต่ก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดในระดับเดียวกัน มีการประดับไฟตามทางเดินเป็นสีสันต่างๆ จนดูคล้ายคลึงกับกาแล็กซีในอวกาศอันมืดมิดเลยทีเดียว สภาพแวดล้อมตอนกลางคืนแตกต่างจากช่วงกลางวันชนิดกลับตาลปัตรและควรค่าอย่างยิ่งให้มาเยี่ยมเยือน เราขอแนะนำให้ค้างสักคืนเพื่อเที่ยวให้เต็มที่ ลองถามโรงแรมดูว่ามีบริการรถชัตเติลบัสฟรีสำหรับการเดินทางไปกลับหรือไม่ จะได้หลีกเลี่ยงความยุ่งยากเรื่องการคมนาคมได้"

"Heike-no-Sato" เป็นสถานที่สำคัญที่จัดแสดงวัฒนธรรมของตระกูลไทระ
Heike-no-Sato ดูแตกต่างจากปกติมากเมื่อมีการเปิดไฟตอนกลางคืน
"Heike-no-Sato" จัดแสดงบ้านหิมะขนาดใหญ่หลายหลัง ถ้าจองล่วงหน้า เราก็จะได้เพลิดเพลินกับงานเลี้ยงหม้อไฟตอนกลางวัน

ผู้คนในยุนิชิงะวะสร้างบ้านหิมะได้อย่างไร?

เวลาพูดถึงบ้านหิมะ ชาวญี่ปุ่นมักนึกถึงภูมิภาคโทโฮคุ เพราะฉะนั้นสมัยที่ผู้คนแถบ Yunishigawa Onsen ตัดสินใจจะจัดงานเทศกาลบ้านหิมะเป็นครั้งแรก พวกเขาก็หาข้อมูลว่ามีการสร้างบ้านหิมะกันอย่างไรในโทโฮคุก่อนจะปรับเปลี่ยนรายละเอียดจนลงตัวมาเป็นวิธีในแบบของตัวเอง คนในท้องถิ่นเล่าว่า หากจะสร้างบ้านหิมะที่มีขนาดใหญ่เท่าห้อง เราต้องเริ่มจากการสร้างโครงค้ำโดยใช้แผ่นไม้ หลังจากนั้นก็ต้องใช้เครื่องขุดกับรถเกลี่ยดินในการทำกำแพงหิมะที่มีความหนาและหลังคาที่แข็งแรง ขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาสองวันกว่าจะเสร็จสิ้น ส่วนบ้านหิมะจิ๋วนั้นสร้างง่ายกว่ากันเยอะ แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ก็ได้แล้ว!


ขั้นที่ 1: ตักหิมะใส่ให้เต็มถัง แล้วอัดให้แน่นเพื่อให้หิมะเกาะตัวติดกัน

ขั้นที่ 2: คว่ำถังใส่หิมะลงพื้น

ขั้นที่ 3: เจาะพลั่วขนาดเล็กเจาะช่องตรงกลาง เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย!

นอกเหนือจากการดื่มด่ำกับความงามของบ้านหิมะ ขอแนะนำว่าอย่าพลาดโอกาสในการเรียนรู้วัฒนธรรมเกี่ยวกับตระกูลไทระ ระหว่างมีการจัดงานเทศกาล ผู้มาเยือนสามารถเรียนรู้วิธีการวาดตราประจำตระกูลไทระ สำราญใจไปกับการแสดงดนตรีด้วยเครื่องดนตรีดั้งเดิม และเข้าร่วมกิจกรรมเล่าเรื่องราวที่ "Heike-no-Sato" นอกจากนี้ยังสามารถลองใส่เสื้อกันฝนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ทำด้วยฟางอีกด้วย เสื้อคลุมที่กันทั้งความหนาวและฝน รวมไปถึงรองเท้าฟางนั้น ทำให้การเดินบนหิมะเป็นเรื่องกล้วยๆ สำหรับผู้คนในอดีต!

หมายเหตุเล็กๆ น้อยๆ:

1. ระหว่างจัดงานเทศกาล จะไม่มีการประดับไฟที่ Sawaguchi Riverbed ในวันพุธและพฤหัสบดี

2. ต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้า "Heike-noSato" ตั๋วหนึ่งวันราคา 510 เยน สำหรับผู้ใหญ่และ 250 เยน สำหรับเด็ก ถ้าเข้าสถานที่หลังห้าโมงเย็น จะคิดค่าตั๋ว 300 เยนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าจะลองใส่เสื้อกันฝนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ต้องจองล่วงหน้าและชำระค่าบริการ 500 เยน ต่อ 30 นาที

เพลิดเพลินกับการแสดงบิวะที่ "Heike-no-Sato" ระหว่างมีการจัดงานเทศกาล
สวมเสื้อกันฝนที่ทำจากฟางเพื่อเปิดประสบการณ์แบบดั้งเดิม

กิจกรรมกลางแจ้งในฤดูหนาวก็มีให้สนุกสนานที่ยุนิชิงะวะเช่นกัน ผู้คนในท้องถิ่นจะใช้ประโยชน์จากหิมะที่สะสมเป็นปริมาณมากมาสร้างเนินหิมะให้เด็กๆ ได้เล่นเลื่อนหิมะ สกีรีสอร์ท "เทียม" แห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับ Tourist Information Center ที่เรียกว่า "Mizu-no-Sato" และเปิดให้ใช้บริการเฉพาะในฤดูของงานเทศกาล เราได้เห็นเด็กๆ มากมายแล่นเลื่อนหิมะผ่านไปพร้อมรอยยิ้ม! น่าเสียดายที่ผู้ใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน

เด็กๆ กำลังเพลิดเพลินกับการเล่นเลื่อนหิมะ
Tourist Information Center ที่เรียกว่า "Mizu-no-Sato" มีหน้าที่ให้บริการข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีบทบาทเป็นตลาดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น นักท่องเที่ยวคนใดไม่ได้วางแผนจะมาค้างคืนก็สามารถสำราญใจกับบ่อน้ำพุร้อนหรือบ่อแช่เท้ากลางแจ้งของที่นี่ได้

ค้างสักคืนเพื่ออิ่มอร่อยกับอาหารท้องถิ่นและสำราญใจกับบ่อน้ำพุร้อน

นั่งรถบัสจากสถานี Yunishigawa และลงรถที่ Hana-to-Hana Hotel
เลือกห้องแบบญี่ปุ่นหรือตะวันตกที่มาพร้อมกับทิวทัศน์ทางธรรมชาติให้รับชม

โรงแรมที่เราเข้าพักมีชื่อว่า Hana-to-Hana Hotel โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นแห่งนี้ออกแบบมาอย่างทันสมัยและเรียบง่าย ขึ้นชื่อเรื่องบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งที่ภาคภูมิใจกับทิวทัศน์แบบพาโนรามาของหน้าผาที่ปกคลุมภายใต้หิมะสีขาว Yunishigawa Onsen ได้รับคะแนนโหวตให้เป็นสุดยอดบ่อน้ำพุร้อนสำหรับการบำรุงผิวพรรณในค.ศ. 2016 กล่าวกันว่าน้ำที่เป็นด่างในบ่อคือเคล็ดลับที่ทำให้ผิวเนียนนุ่ม อีกทั้งยังช่วยให้นักท่องเที่ยวได้คลายความเครียดหลังเดินทางระยะไกล ในคืนที่เข้าพัก เราได้ลิ้มลอง ""Heike Karibayaki"" อันเป็นอาหารท้องถิ่นที่ซามูไรตระกูลไทระคิดค้นขึ้น ในช่วงพลัดถิ่นนั้น พวกเขาจะนำเนื้อจากสัตว์ที่ล่าในภูเขามาเสียบไม้ปิ้งด้วยซอสมิโสะ เรานั่งรอบเตาอิโอริที่เป็นเตาฝังพื้นแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น และรับประทานอาหารญี่ปุ่นระหว่างรอให้เนื้อสุก

ลิ้มรสความอร่อยของ "Heike Karibayaki" ในทุกคำที่กัดกิน
เจ้าของโรงแรมที่เป็นผู้หญิงคือลูกหลานของตระกูลไทระ เธอเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับต้นกำเนิดของอาหารและประวัติศาสตร์ของตระกูลไทระ

หลังรับชมบ้านหิมะจนครบแล้ว เราก็อยากลองรับประทานอาหารในบ้านหิมะสักหลังมากๆ ก็เลยจองกับทางโรงแรม ภายในกระท่อมน้ำแข็งมีโต๊ะอุ่นขาแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่าโคทัตสึและผ้าห่มคลุมโต๊ะ เราจึงได้รับความอบอุ่นในทันทีที่เข้าไปข้างหน้า เราสำราญใจกับซุปถั่วแดงร้อนๆ และผลไม้สดใหม่ขณะดื่มด่ำกับทัศนียภาพของสวนยามค่ำคืน ช่างหรูหราและสะดวกสบายอะไรอย่างนี้!

แช่บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งพร้อมกับชมทิวทัศน์งดงาม
เอร็ดอร่อยกับอาหารหนึ่งรสโอชะในบ้านหิมะในสวนของโรงแรม อุณหภูมิในบ้านหิมะอุ่นกว่าที่เราคิด

อาหารเลิศรสของยุนิชิงะวะ

ปัจจัยที่ทำให้คุ้มค่าแก่การดั้นด้นมาถึงที่นี่ก็คือ แหล่งท่องเที่ยวอันดีเยี่ยมและอาหารที่พิเศษไม่เหมือนใคร คราวนี้เราได้ลิ้มลอง "Heike Karibayaki" และขนมท้องถิ่นอีกมากมาย เช่น ซาลาเปานึ่งที่ทำด้วยนมรสเลมอนและนมรสสตรอว์เบอร์รี่ เราบังเอิญไปเจอขนมหน้าตาน่ารักพวกนี้ที่ร้านไวน์บนถนนใหญ่ชื่อ Yuzawaya ก็เลยอดไม่ได้ที่จะรับประทานขนมพร้อมกาแฟร้อนและเหล้าสาเกหวานซึ่งเป็นเครื่องดื่มดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ทำจากข้าวหมัก อาหารร้อนๆ ช่างทำให้สุขใจในวันเวลาแห่งความหนาวเหน็บเสียนี่กระไร

นมรสเลมอนและนมรสสตรอว์เบอร์รี่เป็นของกินขึ้นชื่อในจังหวัดโทชิงิ แต่ซาลาเปารสเหล่านี้ถือว่าหาชิมได้ยาก

Aizuya เป็นร้านจำหน่ายเต้าหู้โดยเฉพาะ ตั้งอยู่บนตลิ่งแม่น้ำใกล้กับ Jikoji Temple หนึ่งในสินค้าขายดีก็คือเต้าหู้แห้งที่มีชื่อเรียกว่า "ชีสจากภูเขาลึก" มีสองรสชาติให้เลือกคือรสมิโสะและรสซอสถั่วเหลือง เราสั่งหม้อไฟเต้าหู้ธรรมดาๆ เพื่อรับประทานกับเมนูที่ว่านั้น ซึ่งทั้งรสชาติ บริการ และราคานั้นเรียกว่าน่าพึงพอใจมาก

Aizuya ดูเหมือนบ้านญี่ปุ่นทั่วไปมากกว่าจะเป็นร้านเต้าหู้
หม้อไฟเต้าหูหน้าตาธรรมดา แต่รสชาติล้ำเลิศ
「รับประทาน "ชีสจากภูเขาลึก" กับมายองเนสหรือมัสตาร์ด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ดังต่อไปนี้

Tobu Railway Limited Express Revaty
http://railway.tobu.co.jp/special_express/vehicle/revaty/ (Japanese)
Yunishigawa Kamakura Festival
https://travel.tochigiji.or.jp/th/things-to-do/12/
Yunishigawa Onsen Hana-to-Hana Hotel
https://www.yunishigawa.co.jp/en/ (English)

Powered by WAttention

สำรวจโอคุนิกโก้: วิมานฤดูร้อนที่ซุกซ่อนอยู่