ภาพเขตสุมิดะในโตเกียวและเงาของ TOKYO SKYTREE℠

สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไป ห้ามพลาดวัดและร้านขายของที่ระลึกในย่านอาซากุสะ ผู้มาเยือนญี่ปุ่นมักแวะริมแม่น้ำสุมิดะแล้วถ่ายรูปพร้อม TOKYO SKYTREE℠ อันโด่งดังในฉากหลัง แต่มีแค่บางคนเท่านั้นที่จะเดินข้ามสะพานอะซุมะบาชิเข้าไปในเขตสุมิดะ อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำสุมิดะ เป็นที่ตั้งของ TOKYO SKYTREE℠ อันโอ่อ่าภูมิฐาน บริเวณนั้นเงียบเชียบกว่าจุดยอดนิยม ทว่าก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อีกทั้งยังมีบรรยากาศแบบญี่ปุ่นขนานแท้ให้ได้สัมผัส ระหว่างสำรวจถนนหนทางอันเงียบสงบซึ่งมีประวัติศาสตร์และศิลปะซุกซ่อนให้ค้นหาอยู่ในสถานที่ที่คาดไม่ถึงเลยสักนิด เราก็บังเอิญได้พบกับสถานที่อันเป็นแรงบันดาลใจของโฮคุไซ คัตสึชิกะ ผู้เป็นหนึ่งในศิลปินญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลมากที่สุด

TOKYO SKYTREE℠ คือ สัญลักษณ์แห่งความทันสมัยที่หยั่งรากอยู่ในขนบธรรมเนียมของญี่ปุ่น

TOKYO SKYTREE℠ เป็นหอสื่อสารโทรคมนาคมแบบปฏิบัติการเดี่ยวที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 634 เมตร

"เช้าวันนั้นมีแสงแดดส่องและอากาศสดใส เห็น TOKYO SKYTREE℠ ทอประกายท่ามกลางท้องฟ้าไร้เมฆ ก่อนที่ฉันจะเริ่มปวดคอเพราะแหงนมองมันมากจนเกินไป เราก็ได้เข้าไปในเขาวงกตซึ่งมีร้านค้าและร้านอาหารน่าสนใจมากมายที่ฐานของหอสื่อสาร เราตื่นเต้นที่จะได้ชมทัศนียภาพของเมืองเบื้องล่างอันงดงาม ก็เลยพุ่งตรงไปที่จุดชมวิว เราซื้อตั๋วที่ FAST SKYTREE TICKET COUNTER ตรงชั้น 4 ซึ่งช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติประหยัดเวลาและไม่ต้องต่อคิวยาว"

"เจ้าหน้าที่นำทางเราผ่านห้องโถงที่ดูล้ำยุคและประดับประดาด้วยไฟวิบวับ หลังรอแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เราก็ได้เข้าไปในลิฟต์ ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปข้างบนได้นิ่มมากจนไม่ค่อยจะรู้สึกว่าเรากำลังขึ้นไปข้างบน ข้อบ่งชี้เพียงหนึ่งเดียวถึงอัตราความเร็วอันน่าทึ่งก็คือหน้าจอที่บอกให้รู้ว่า เรากำลังเดินทางที่อัตราความเร็ว 600 เมตรต่อนาที การเดินทางสู่ที่สูงจบลงก่อนที่เราจะทันได้รู้ตัว เจ้าหน้าที่ประจำลิฟต์ประกาศด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า เราได้มาถึงจุดชมวิวแล้ว

ตอนประตูลิฟต์เปิดออก ดวงตาของเราต้องปรับตัวรับแสงสว่างจากหน้าต่างบานกว้างที่สามารถรับชมวิวแบบพาโนรามา แต่ใช้เวลาไม่นานหรอกกว่าภาพมหานครโตเกียวที่หมอบอยู่เบื้องล่างจะเข้าสู่จุดโฟกัสของสายตา เราเห็นเงาสีน้ำเงินเทาของตาข่ายอันซับซ้อนแผ่ตัวออกไปแสนไกล สิ่งปลูกสร้างที่เป็นจุดสังเกตบางแห่งนั้นเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าที่ไหน"

ทิวทัศน์จากจุดชมวิวที่ความสูง 350 เมตร

ฉันสร้างความเพลิดเพลินให้ตัวเองด้วยการมองหาสถานที่ที่คุ้นเคยท่ามกลางหมู่ตึกที่ชวนให้สับสนและทอดยาวไร้สิ้นสุด ดูคล้ายกับกล่องขนาดเล็กที่มีอยู่มากมายในแบบจำลองของสถาปนิก แป้นทัชสกรีนทำให้ฉันได้รู้ว่าสถานที่นั้นๆ ตั้งอยู่ที่ใดและได้เห็นทัศนียภาพของสิ่งเหล่านั้นตอนกลางคืน แต่อย่างไรนั้น สิ่งที่ฉันสนใจมากที่สุดนั่นก็คือภาพทิวทัศน์ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ภาพนักเรียนมารวมตัวกันในสนามของโรงเรียน หรือภาพทางรถไฟลดเลี้ยวคดเคี้ยวไปตามเงาขนาดยักษ์ของ TOKYO SKYTREE℠ ที่พาดทับเมืองราวกับนาฬิกาแดด

หลังเสร็จสิ้นการทัวร์จุดต่างๆ ของจุดชมวิวแล้ว ฉันก็ไปสำรวจร้านจำหน่ายของที่ระลึกและพยายามกลั้นใจก้าวเท้าไปบนพื้นกระจก ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้มาเยือนได้รับชมทั้งเมืองเบื้องล่างและแขนงโลหะขนาดมโหฬารที่ค้ำหอสื่อสารอยู่

เราตัดสินใจขึ้นลิฟต์อีกตัวเพื่อเดินทางสู่จุดชมวิวที่สอง ที่ความสูง 450 เมตร แต่ดูเหมือนว่า 350 เมตรนั้นยังไม่สูงพอ ลิฟต์ตัวนี้มอบความระทึกใจยิ่งกว่า เพราะมีหน้าต่างที่ประตูและเพดานลิฟต์เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าระดับความสูง 350 เมตรยังไม่ทำให้เกิดอาการวิงเวียน ระดับความสูง 450 เมตรอาจจะทำให้เป็นอย่างนั้น

หลังเดินชมจนทั่ว เราก็กลับสู่ภาคพื้นดินที่ชั้น G จากนั้นก็แวะ "สุมิดะมาจิ โดโกโระ" อันเป็นพื้นที่ที่จำหน่ายสินค้างานฝีมือท้องถิ่นและของที่ระลึก รวมถึงมุมเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และผลิตภัณฑ์ของเขตสุมิดะ นอกจากนี้ยังมีบริเวณให้ช่างศิลป์นำเสนอผลงานสร้างสรรค์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและแสดงทักษะให้นักท่องเที่ยวได้รับชม โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวถามคำถามได้

คุณอิโซงาอิประดิษฐ์เครื่องประดับจากกระดองเต่า

ผลิตภัณฑ์ที่วางขายที่สุมิดะมาจิ โดโกโระ นั้นมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครตรงที่ว่า พวกมันสื่อทั้งแง่มุมร่วมสมัยและดั้งเดิมของอัจฉริยภาพด้านการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ของญี่ปุ่น มีตั้งแต่รองเท้าสวมเดินในบ้านแบบดั้งเดิม ตุ๊กตาที่มีการประดับประดาอย่างงามวิจิตร หุ่นยนต์ดีบุกสุดน่ารัก อัญมณีอันเปล่งประกาย ไปจนถึงที่ห้อยโทรศัพท์มือถือหน้าตาแปลกประหลาด ช่วงเวลาที่หมดไปกับสุมิดะมาจิ โดโกโระ และการเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณทางศิลปะอันไร้ขีดจำกัดของเขตสุมิดะทำให้ฉันอยากจะสำรวจและค้นหางานฝีมือที่ลักษณะเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น

ฉากกั้นห้องแบบญี่ปุ่น: เป็นทั้งเฟอร์นิเจอร์ ของประดับตกแต่ง และภาพเขียนบนผ้าใบ

เราแวะร้านจำหน่ายฉากกั้นห้องในตำนานเป็นแห่งแรก ร้านนี้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการผสมผสานความสง่างามและความสามารถในการใช้งานจริงเข้าไปในผลงาน

ร้านจำหน่ายฉากกั้นห้องที่ชื่อคาตาโอกะเบียวบุ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 60 ปี

ฉากกั้นห้องของร้านคาตาโอกะเบียวบุนั้น มีตั้งแต่ของประดับตกแต่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศแบบญี่ปุ่นให้ห้องหับ ไปจนถึงของฝากชิ้นเล็กๆ สำหรับซื้อไปฝากครอบครัวและเพื่อนฝูง นำเสนองานฝีมือแบบญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและมีวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง

"แต่เดิมมีการนำเข้าฉากกั้นห้องจากประเทศจีนเมื่อประมาณ 1,300 ปีที่แล้ว ต่อมาฉากกั้นห้องและเทคนิคในการผลิตพวกมันก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งเกิดเป็นวิธีในแบบฉบับของญี่ปุ่น"" ช่างศิลป์รุ่นที่สามของร้านชื่อ คาตาโอกะ โคโตะ บอกเราเช่นนั้น

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยใหม่และการไหลทะลักเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ฉากกั้นห้องของร้านคาตาโอกะเบียวบุ ได้ใช้ภาพพิมพ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดหลายภาพของโฮคุไซ ซึ่งภาพส่วนใหญ่มาจากผลงานชุดยอดนิยมของศิลปินผู้นี้ที่เรียกว่า ""มุมมอง 36 วิวของภูเขาไฟฟูจิ"

"ยกตัวอย่างก็เช่น ในภาพThe Great Wave off Kanagawa นั้น คุณจะได้เห็นภาพที่ต้องใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายด้วยความเร็วชัตเตอร์ 1/10000 แต่เขาใช้จินตนาการ จากนั้นก็วาดและประดิษฐ์มันออกมา เขามีบางอย่างที่จิตรกรสมัยก่อนไม่มี คนเล่ากันว่าเขาเป็นคนแปลกๆ ซึ่งยิ่งทำให้เขาดูน่าสนใจมากขึ้นอีก"" คุณคาตาโอกะตอบเมื่อเราถามเกี่ยวกับความมีชื่อเสียงของโฮคุไซทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น

The Great Wave off Kanagawa น่าจะเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดของโฮคุไซ

โฮคุไซเกิดและใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเขตสุมิดะ เขาได้กลายเป็นทูตอย่างไม่เป็นทางการสำหรับย่านนี้ไปแล้ว ผู้มาเยือนสามารถเพลิดเพลินกับผลงานของเขาที่พิพิธภัณฑ์สุมิดะโฮคุไซ ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเร็วๆ นี้

(C)Forward Stroke
นักท่องเที่ยวสามารถรับชมบริเวณที่จำลองเป็นห้องของเขา รวมทั้งสถาปัตยกรรมภายนอกที่ออกแบบด้วยนวัตกรรม

นอกเหนือจากการชื่นชมผลงานศิลปะในสุมิดะ ยังสามารถไปเยี่ยมเยือนทัศนียภาพอันเป็นแรงบันดาลใจให้โฮคุไซ และเจาะเวลาหาอดีตระหว่างการเรียนรู้เกี่ยวกับจุดเชื่อมโยงของสถานที่ต่างๆ กับศิลปินผู้เป็นต้นกำเนิดภาพบนบล็อกแม่พิมพ์

สวนสุมิดะและศาลเจ้าอุชิจิมะ

ขณะเดินทางสักการะสถานที่อันมีความเกี่ยวข้องกับโฮคุไซ เราก็เจอ สวนสุมิดะ ซึ่งเป็นสวนที่ผสมผสานระหว่างสวนญี่ปุ่นอันสงบสุขให้เข้ากับ TOKYO SKYTREE℠ ที่อยู่ในฉากหลัง ภาพนี้ย้ำเตือนให้เห็นถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป

บ่อน้ำในสวนสุมิดะที่มี TOKYO SKYTREE℠ อยู่ในฉากหลัง

เรารวมตัวกันรอบบ่อน้ำเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบสงบ เห็นเต่าหลายตัวนอนอาบแดดอย่างเกียจคร้านอยู่บนหิน นักดูนกเฝ้ารออย่างจดจ่อใกล้กับกล้องถ่ายรูปของตัวเองและเลนส์ถ่ายไกลที่พร้อมจะจับได้ภาพทุกเมื่อ ในขณะเดียวกัน ชายชราตรงริมฝั่งบ่อน้ำก็เล่นซอสามสายของญี่ปุ่นที่เรียกว่าชามิเซ็นพร้อมกับร้องเพลงที่ชวนให้หวนนึกถึงอดีต ภาพนี้ราวกับกระโดดออกมาจากภาพพิมพ์แกะไม้ ทำให้ฉันนึกไปว่าโฮคุไซอาจได้เห็นทัศนียภาพคล้ายคลึงกันตอนเขาใช้ชีวิตในสุมิดะ

หลังเดินครู่สั้นๆ เราก็มาถึงศาลเจ้าอุชิจิมะ ศาลเจ้าชินโตแห่งนี้สร้างขึ้นในค.ศ. 820 ชื่อของศาลเจ้ามาจากวัวที่เคยกินหญ้าในแถบนี้ (อุชิในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงวัว)

เวลามาเยือนศาลเจ้าญี่ปุ่น อย่าลืมปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมด้วย นั่นคือให้ล้างมือและบ้วนปากก่อนจะเข้าไปข้างใน

ศาลเจ้าอุชิจิมะมีชื่อเสียงจากนาเดะอุชิ หรือก็คือรูปปั้นวัวที่กล่าวกันว่ามีพลังในการรักษาเมื่อผู้มาเยือนแตะมันในจุดเดียวกันกับส่วนของร่างกายที่มีอาการเจ็บป่วย

เล่ากันว่าโฮคุไซได้บริจาคหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเขาที่ชื่อ "Susanoo-no-Mikoto Yakujin Taiji no Zu" ให้แก่ศาลเจ้าอุชิจิมะ ภาพดังกล่าววาดให้เห็นชั่วขณะที่เทพเจ้าสุซาโนะโอะ โนะ มิโกโตะกำลังต่อสู้กับโรคภัย 15 ชนิดที่สมมติให้มีรูปร่างของมนุษย์ ทว่าก็น่าเสียดายที่ภาพนั้นสูญหายไปจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคันโตเมื่อปี 1923 มีเพียงภาพถ่ายขาวดำของผลงานชิ้นเอกเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ จนกระทั่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูศิลปะได้สร้างสรรค์ภาพเขียนนั้นขึ้นมาใหม่ด้วยสีเดิมของมัน ทำให้เราได้เห็นมันที่พิพิธภัณฑ์สุมิดะโฮคุไซในทุกวันนี้

"Susanoo-no-Mikoto Yakujin Taiji no Zu" จัดว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของโฮคุไซ

กล่าวกันว่าศาลเจ้ามิเมะกุริคือจุดรับพลัง

เราเดินต่อไปตามถนนเงียบๆ และบางทีก็ร้างผู้คน แต่ก็แวะตรงนั้นตรงนี้ไปด้วยเพื่อสำรวจวิถีชีวิตของช่างฝีมือท้องถิ่น ตั้งแต่ผู้คนที่ผลิตทาบิ(ถุงเท้าญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม) ไปจนถึงเวิร์กช็อปพิมพ์ลายเสื้อยืดสมัยใหม่ที่ใช้ดีไซน์ร่วมสมัย ปิดท้ายด้วยศาลเจ้าอีกแห่งซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณหนึ่งของสุมิดะที่เงียบยิ่งกว่าที่ผ่านมา

ศาลเจ้ามิเมะกุริจัดเป็น "พาวเวอร์สป็อต (จุดรับพลัง)" แห่งหนึ่ง คำนี้ขอยืมมาจากภาษาอังกฤษแต่มีต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น จุดรับพลังคือสถานที่ที่มีพลังงานพิเศษหรือพลังงานทางวิญญาณ ผู้คนมักมาเยือนเพื่อฟื้นฟูพลังที่จำเป็นหรือชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ ทีแรกฉันก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่จู่ๆ ก็รู้สึกรับรู้จากอะไรบางอย่าง ไม่นานฉันก็เริ่มรู้สึกถึงความสงบเยือกเย็นอันลึกลับและรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มตำปลายนิ้ว ระหว่างเดินรอบโครงสร้างอันแปลกไม่เหมือนใครของศาลเจ้าที่เป็นเส้นทางสามเหลี่ยม ฉันได้เห็นเสาโทริอิสีชาดและสุนัขจิ้งจอกสีขาวซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผู้ส่งสารของอินาริ เทพธิดาแห่งความเจริญรุ่งเรือง แล้วยังมีบ่อน้ำที่ได้รับการปกป้องด้วยโครงสร้างคล้ายนำเสาโทริอิสามต้นมารวมเข้าด้วยกัน

ในสมัยเอโดะนั้น โฮคุไซวาดภาพศาลเจ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งนี้ได้เหมือนจริงจนได้รับคำชมมากมาย

ภาพเขียนที่ชื่อ "Shinpan Ukie Mimeguri Ushi no Gozenryousha no Zu" วาดให้เห็นศาลเจ้าจากมุมมองไม่เหมือนใคร

ตุ๊กตาคิเมะโคมิและศาลเจ้าชิราฮิเกะ


ในหมู่สตูดิโอหลายแห่งที่เราพบเจอ เราตัดสินใจแวะชมสตูดิโอเอโดะ ตุ๊กตาคิเมะโคมิ สตูดิโอนี้นำเสนอตัวการ์ตูนญี่ปุ่นอันเป็นที่รักซึ่งผลิตด้วยวิธีคิเมะโคมิแบบดั้งเดิม ขั้นตอนคือแกะสลักตุ๊กตาตัวเล็กๆ จากไม้ของต้นหลิว แล้วใช้เศษผ้าประดับประดามัน ผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับความนิยมมากกว่านั้นก็เช่น ตุ๊กตาฮินะที่เป็นของมงคล แมวกวักมาเนะกิเนะโกะซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป และนกฮูกน่ารักที่เชื่อกันว่าจะนำโชคมาให้

สตูดิโอเล็กๆ แห่งนี้เปิดให้ลองทำตุ๊กตาคิเมะโคมิด้วยตัวเอง โดยมีวัสดุที่จำเป็นและคำแนะนำให้บริการฟรี

จุดต่อไปบนแผนที่ที่เราแวะก็คือศาลเจ้าชิราฮิเกะ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดผ่านชุดผลงานภาพพิมพ์ทังกะสไตล์การ์ตูนที่เรียกว่า "วิวพาโนรามาทั้งสองฝั่งของแม่น้ำสุมิดะ"

แม้ช่วงแรกฉันคาดหวังจะได้เห็นศาลเจ้าที่อยู่ในภาพพิมพ์ของโฮคุไซ แต่ไม่นานนักฉันก็เริ่มเข้าใจว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นสิ่งเหล่านั้นท่ามกลางทิวทัศน์ชุมชนเมืองที่แผ่กว้างของสุมิดะ สาเหตุไม่ใช่แค่ผลกระทบของกาลเวลาเท่านั้น แต่เพราะโฮคุไซมักเลือกวาดองค์ประกอบต่างๆ จากจินตนาการของตัวเองและมีภาษาภาพที่มีสไตล์เป็นของตัวเองอย่างยิ่ง

ซากุระโมจิ ขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ

หลังเดินมาเกือบทั้งวัน ก็ได้เวลาสำหรับการเติมความสดชื่น เราไม่รู้จะหาอะไรที่เข้ากับช่วงเวลาของโฮคุไซได้ดีไปกว่าซากุระโมจิในตำนานของร้านโมโคจิมะ โชเมจิ ขนมชนิดนี้คือแป้งโมจิหวานไส้ถั่วแดงกวน ห่อด้วยใบซากุระดองเกลือ ที่สร้างความสำราญใจให้แก่ผู้คนมาตั้งแต่สมัยเอโดะ

การผสมผสานใบไม้นุ่มนิ่มรสเค็มเข้ากับโมจิหวานและถั่วแดงกวนทำให้ได้ผลลัพธ์อร่อยลิ้น แถมรสชาติละมุนของชาเขียวที่เสิร์ฟมาให้ดื่มคู่กันก็ช่วยสร้างความผ่อนคลายได้ดีเหลือเกิน

ศาลเจ้าสุมิดะคาวะ

เรามาถึงสิ่งซึ่งอยู่ในผลงานชิ้นเอกของโฮคุไซอีกชิ้นอันมีชื่อว่า เซซึเกซึกะ สุมิดะ สถานที่ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผลงานดังกล่าวก็คือ ศาลเจ้าสุมิดะคาวะนั่นเอง ปัจจุบันนี้มีเงาของทางหลวงด้านหลังทอดลงมาทับก็จริง แต่ในสมัยเอโดะนั้น น้ำในแม่น้ำสุมิดะ ไหลตลอดทางไปจนถึงศาลเจ้า ขนาดที่ศาลเจ้าได้รับฉายาว่าศาลเจ้าแห่งน้ำ

เซซึเกซึกะ (หิมะ ดวงจันทร์ และมวลดอกไม้) สุมิดะ
ศาลเจ้าในปัจจุบันมีเต่าโคมะคาเมะเป็นผู้พิทักษ์ แทนที่จะเป็นสุนัขผู้พิทักษ์ตามปกติ

โฮเซนจิและมุโคบุจิ

เราปิดท้ายวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์และศิลปะด้วยการแวะ โฮเซนจิกับมุโคบุจิ ซึ่งเป็นวัดสองแห่งที่ปรากฏในผลงานของโฮคุซ

ภาพเขียนชื่อ “แสวงบุญที่วัดโฮเซนจิ” กับวัดโฮเซนจิในยุคปัจจุบัน

มีการประมาณว่าโฮคุไซได้วาดภาพนี้ช่วงอายุ 60-70 ปี เพื่อสื่อถึงผู้คนที่ไปไหว้พระที่วัดโฮเซนจิ ภาพวาดชิ้นนี้ถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของเขตสุมิดะ

“พระจันทร์เต็มดวงของอุเมวากะ” กับวัดโมคุบุจิยุคปัจจุบันที่มีกระจกปกป้องล้อมรอบ

วัดโมคุบุจิมีความเกี่ยวข้องกับตำนานอุเมะวากะ ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายที่พลัดพรากจากมารดาและเสียชีวิตใกล้กับแม่น้ำสุมิดะ หลังรู้ข่าวการตายของเด็กชาย มารดาของเขาก็เสียสติและตะลอนตามหาเขาไปทั่ว โฮคุไซวาดฉากที่มารดาและลูกชายผู้ไม่อาจได้พบกันอีกครั้งเมื่อตอนยังมีชีวิต ได้มาพบกันอย่างมีความสุขและเพลิดเพลินกับการนั่งเรือ

ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของสถานี Kanekabuchi และ TOKYO SKYTREE℠

เราเดินไปตามตลิ่งของแม่น้ำอะราคาวะ เพื่อรับชมทัศนียภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้

"เราจบวันที่บริเวณใกล้สถานี Kanegafuchi เพราะมืดแล้ว ก็เลยถ่ายภาพ TOKYO SKYTREE℠ ที่ประดับไฟรูปนี้มาได้ เราเห็น TOKYO SKYTREE℠ ผลุบโผล่ตามสถานที่ต่างๆ ที่เราไปเยือน การจบทัวร์ที่นี่จึงดูเป็นวิธีปิดท้ายวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

การเดินชมรอบๆ บ้านเกิดของโฮคุไซและได้พบกับสถานที่ซึ่งเกี่ยวพันกับผลงานของเขาในช่วงเวลาต่างๆ ของอาชีพจิตรกร ทำให้ฉันเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถูกจัดให้เป็นจิตรกรชาวญี่ปุ่นผู้โดดเด่นและมีผลงานมากที่สุดคนหนึ่ง อย่างไรก็ดี สำหรับเขาแล้วเพียงเท่านี้อาจจะยังไม่พอ เพราะตอนใกล้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 88 ปี เขาพึมพำว่า"

หากสวรรค์มอบเวลาให้ฉันอีกสักสิบปี...หรืออีกสักห้าปีก็ยังดี ฉันก็คงได้เป็นจิตรกรที่แท้จริง

*ภาพเขียนในบทความนี้ทั้งหมดมีจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สุมิดะโฮคุไซ

TOKYO SKYTREE℠
http://www.tokyo-skytree.jp/en/
ร้านจำหน่ายฉากกั้นห้อง Kataoka Byoubu (ภาษาญี่ปุ่น)
http://www.byoubu.co.jp/
พิพิธภัณฑ์สุมิดะโฮคุไซ:
http://hokusai-museum.jp/?lang=en
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานศิลปะของโฮคุไซได้ที่เว็บไซต์ด้านล่าง
http://hokusai-sumida.jp/pc/e.html
จองเวลาเพื่อหัดทำตุ๊กตาคิเมะโคมิ (ภาษาญี่ปุ่น)
http://edokimekomi.com/taiken/index.html

Powered by Wattention



สำรวจโอคุนิกโก้: วิมานฤดูร้อนที่ซุกซ่อนอยู่

สถานที่และพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง